Description
Mason Natural, Aloe Vera & Vitamin E, สารสกัดจากว่านหางจรเข้ผสมผสานกับวิตามินอี (Vitamin E dl-alpha tocopheryl acetate) บำรุงผลัดเซลล์ผิวที่ตายให้แล้วและสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่ช่วยเร่งการสร้างเนื้อเยื่อ ที่ถูกทำลายจากการ กด สิว หลุมสิว ลึก จะค่อยถูกเติมเต็มขึ้น อย่างรวดเร็ว Vitamin E จะช่วยเร่งการเติมเต็มเนื้อบริเวณร่องแก้ม ตีนกา ให้ตื้นขึ้น ช่วยให้ผิวที่เป็นแผลเป็น หายเร็วขึ้น
Mason Natural Aloe Vera & Vitamin E สารสกัดจากว่านหางจรเข้Aloe Vera และวิตามินอี (Vitamin E)
ประโยชน์ของเจลว่านหางจรเข้
1.ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
เมื่อผิวหนังกำพร้าชั้นนอกโดนทำลายจาก เปลวไฟหรือน้ำร้อนลวก ทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดอาการอักเสบเป็นสีแดง และรู้สึกปวดแสบปวดร้อน ซึ่งการทาเจลว่านหางจระเข้ ลงที่บริเวณนั้นจะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ เพียงแค่ทาบริเวณที่มีรอยแผล ความชุ่มชื่นของเจลว่านหางจระเข้ก็จะช่วยให้อาการแสบจากการอักเสบนั้นค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับและสามารถใช้แทนครีมบำรงผิวได้เป็นอย่างดี
2.รักษาผิวหนังไหม้ที่เกิดจากแดด
แสงแดดในประเทศเรานั้นแรงเหมือนใครชวนดวงอาทิตย์มาอยู่ข้างๆเราเลยก็ว่าได้ ซึ่งเมื่อผิวหนังได้รับความร้อนจากแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานานจึงเกิดการอักเสบเปลี่ยนกลายเป็นสีแดง ซึ่งเป็นสาเหตุให้กลายไปเป็นสีผิวที่คล้ำเสีย ซึ่งผลพวงจากการอักเสบของผิวนั้นมักจะมาพร้อมกับอาการคันผิวหนัง ในบางกรณีผิวหนังอาจจะลอกออกมาเป็ยขุยๆ ซึ่งการนำเจลว่านหางจระเข้ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิต่ำไปทาลงบริเวณที่ถูกแสงแดดเผาทิ้งไว้ก็จะช่วยบรรเทาอาการแสบผิวลงได้
3.รักษาแผลที่เกิดจากของมีคม ผิวหนังถลอก
แผลเป็น เกิดจากกระบวนการรักษาแผลตัวเองของร่างกายที่ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ ดังนั้นร่างกายจึงสร้างเนื้อเยื่อที่เป็นคอลลาเจนออกมาเพื่อทดแทนเนื้อเยื่อเก่าที่ถูกทำลายไป เมื่อแผลหายดีแล้วก็จะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ให้ได้ชมต่างหน้า ซึ่งการทาเจลว่านหางจรเข้ลงที่แผล เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยรักษารอยแผลนั้นจางลงได้
4.ลดความมันบนใบหน้า
ความมันบนใบหน้ามักเป็นปัญหาระดับชาติไม่ว่าจะเพศหญิงหรือชายก็จะพยายามสรรหาสกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์อะไรก็ได้ที่สามารถช่วยลดความมันบนใบหน้าลงได้ ซึ่งเจลว่านหางจรเข้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการลดความมันบนใบหน้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงนำเอาเจลว่านหางจระเข้ทาลงบนใบหน้า (ประมาณ 1-2 ชั่วโมง) เนื้อเจลก็จะซึมซาบเข้าสู่ผิว นอกจากจะช่วยลดความมันบนใบหน้าแล้วยังช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มชุ่มชื้นได้ด้วย
5.รักษารอยด่างดำบนใบหน้า
หนุ่มๆสาวๆหลายคนมักจะกังวลกับจุดด่างดำบนใบหน้าที่เกิดจากสิว บางคนถึงกับต้องเสียเงินแพงๆไปเรเซอร์ เพื่อให้รอยหรือว่าจุดด่างดำนั้นหายไป แต่รู้หรือไม่ว่าเจลว่านหางจระเข้ ก็สามารถฟื้นฟูผิวที่มีรอยด่างดำดูลดเลือนลงอย่างเห็นได้ชัด เพียงทาลงบริเวณที่เกิดรอยด่างดำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพียงเท่านี้ก็จะกลับมามีผิวหน้าที่เนียนใสเหมือนไม่ได้เป็นสิวมาก่อน โดยที่ไม่ต้องไปเรเซอร์ให้ผิวหน้าบางเลยคะ
6.ทำให้ผิวชุ่มชื้น เติมน้ำให้ผิว
ผิวแห้งกร้านเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอย และปัญหาสาวๆที่แต่งหน้าไม่ค่อยติด รวมถึงยังทำให้เครื่องสำอางจางหายไปในระหว่างวัน ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเพียงแค่เติมความชุ่มชื่นให้ผิว โดยการใช้เจลว่ายหางจระเข้ พอกทิ้งไว้หนาๆบนใบหน้าก่อนนอน คุณก็จะตื่นมาพร้อมกับใบหน้าที่เนียนนนุ่มน่าสัมผัสห่างไกลริ้วรอยก่อนวัยแน่นอน
7.บำรุงเส้นผมให้เงางาม
ผมแห้งเสียชี้ฟู จากการโดนสารเคมีหรือมลภาวะจากภายนอกนั้นเป็นอะไรที่หลีกเหลี่ยงไม่ได้เลยใช่มั้ยคะ ลองใช้เจลว่านหางชโลมไปที่ปลายผมหรือบริเวณที่แห้งเสีย เพราะในเจลว่านหางจรเข้นั้น มีคุณสมบัติคล้ายเคราติน ที่จะช่วยทำให้ผมนุ่มสลวยสวยเก๋ เพียงเท่านี้ก็จะได้มีผมที่เงางาม อ่อลืมบอกไปว่า.. เจลว่านหางจรเข้บางสูตรสามารถใช้แทนครีมนวดผมได้เลยนะ
วิตามินอี สำคัญอย่างไร ?
วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (Tocopherol) เป็นวิตามินที่ละลายได้ดีในไขมัน จัดเป็นหนึ่งในวิตามินที่สำคัญที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ โดยวิตามินอีจะช่วยป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดง ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดและการอุดตันของเส้นเลือด ลดการเกิดกระบวนการอักเสบในร่างกายที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ และยังมีฤทธิ์อื่นๆ อีกมากมาย มีหน้าที่เบื้องต้นเสมือนฟองน้ำที่คอยดูดซับอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อถูกทำลาย หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “สารต้านอนุมูลอิสระ”
เราจะรับ วิตามินอี ได้จากที่ใดได้บ้าง ?
อาหารที่สำคัญซึ่งมีวิตามินอีมาก ได้แก่ พืชผัก ผลไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่จะเจริญเป็นต้นใหม่ (germ) เมล็ดพืช หรือ ธัญพืช แต่ก็พบว่าออกซิเจนและความร้อนสามารถทำลายวิตามินอีได้ รวมไปถึงการแช่แข็งเป็นเวลานาน ก็ทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินอีได้เช่นกัน ดังนั้นการบริโภคผักหรือผลไม้สดจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินอีที่ร่างกายได้รับได้ นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำนมมารดา โดยเฉพาะน้ำนมมารดาหลังคลอด (colostrum) ก็เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่ให้วิตามินอีในปริมาณที่สูงมากเช่นกัน
ประโยชน์ของ Vitamin E (วิตามินอี) ที่นำมาใช้ประโยชน์ในปัจจุบัน
- ยา นอกเหนือจากบทบาทการเป็นวิตามินผู้ปกป้องร่างกายแล้ว วิตามินอียังมีบทบาทในการเป็นยารักษาโรค โดยทางด้านการแพทย์ จะใช้รักษาโรคโลหิตจางในทารกแรกคลอดเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก ใช้รักษาโรคขาดสารอาหาร ใช้รักษาอาการปวดกล้ามเนื้อขาเวลาเดิน และใช้สำหรับต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ อีกมากมาย
- เครื่องสำอาง วิตามินอีเป็นวิตามินที่มีการนำมาใช้มากชนิดหนึ่งในเครื่องสำอางสำหรับผิว โดยใช้เป็นสารกันหืน ใช้เป็นสารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ใช้ผสมในครีมกันแดด เพื่อช่วยเร่งการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยลดความเกรียมแดดของผิวหนัง และช่วยสมานผิวหนัง ซึ่งฤทธิ์บางอย่างนี้ อาจจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
- อาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีการใช้วิตามินอีเป็นสารกันหืนในอาหาร นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิตามินอีเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยจะใช้เพื่อบำรุงร่างกาย ป้องกันการเกิดโรค และลดความรุนแรงของภาวะต่างๆ โดยภาวะบางอย่างยังคงต้องรอผลการศึกษาเพิ่มเติม
วิตามินอีเป็นวิตามินที่มีบทบาทสำคัญในการกวาดล้างสารอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย ซึ่งทำให้กลุ่มนักวิจัยเกิดความสนใจและเกิดการศึกษาวิจัยทางด้านคลินิก และการนำไปใช้ประโยชน์ในมนุษย์ ในด้านความสวยความงามก็จัดได้ว่าเป็นวิตามินที่ถูกนำมาใช้มากตัวหนึ่งในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ไม่ยากนัก อย่างไรก็ตามการรับประทานวิตามินอีควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อประโยชน์และความปลอดภัยต่อตัวผู้บริโภคเอง
ใช้วิตามินอีเป็นครีมทาหน้าได้ด้วยเหรอ?
สถาบันโรคผิวหนังหลายแห่งต่างมีผลการวิจัยยืนยันว่า Vitamin E (วิตามินอี) ช่วยป้องกันผิวจากการไหม้เกรียมจากแสงแดด ริ้วรอยเหี่ยวย่น และรอยแผลได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานหรือ การนำวิตามินอีมาทาที่ผิวโดยตรง ทั้งนี้เนื่องเมื่อบนผิวหนังเกิดการอักเสบ เกิดแผล หรือแม้แต่ ถูกแสงแดดเผาไหม้ เป็นผลทำให้เกิดการสะสมของอนุมูลอิสระ วิตามินอีจึงทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำดูดซับสารอนุมูลอิสระก่อนที่ผ่านไปทำร้าย ทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ ดังนั้นวิตามินอีจึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ ช่วยเซลล์ผิวให้แข็งแรงขึ้น ช่วยให้ทนต่อรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ในแสงแดดได้ดีขึ้น จึงทำให้ผู้ผลิตเครื่องสำอางนิยมนำประโยชน์ และสรรพคุณของวิตามินอีมาใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์
คุณประโยชน์ของวิตามินอี
1.วิตามินอีช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ นี่เป็นหนึ่งในสรรพคุณหลักของวิตามินอีเลยก็ว่าได้ เพราะในวงการแพทย์เสริมความงาม ส่วนใหญ่จะใช้วิตามินอีเข้ามาช่วยในการรักษาสภาพการทำงานของเซลล์ผิวหนัง ซึ่งคนที่ไปหาหมอเพื่อรักษาสภาพผิวหน้า หรือรักษาสิวนั้น คุณหมอจะให้ยากลุ่มวิตามินอี มาให้กับคุณเพื่อใช้ทาบริเวณที่เกิดสิว บรรเทารอยสิว และลดการเกิดสิว รวมถึงวิตามินอียังช่วยให้เซลล์ในร่างกายของเราไม่เสื่อมสภาพการทำงานไปง่ายๆ ทำให้เรายังดูหนุ่มสาว ไม่แก่ง่ายนั่นเอง
2. วิตามินอีช่วยป้องกันภาวะแท้งของหญิงตั้งครรภ์ สำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์คุณหมออาจจ่ายยากลุ่มวิตามินอีมาให้ทานควบคู่ด้วย นั่นเป็นเพราะบางคนที่ตั้งท้อง มีสุขภาพไม่แข็งแรง หรือได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ อาจมีผลกระทบต่อลูกในท้องจนทำให้แท้งได้ ดังนั้นคุณหมอมักแนะนำให้ทานวิตามินอีเยอะๆ เพื่อรักษาสภาพการตั้งครรภ์ให้ทั้งคุณแม่และคุณลูก ให้มีสุขภาพที่แข็งแรง
3. วิตามินอีช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ สำหรับคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือคนที่ขี้หลงขี้ลืมบ่อยๆ คนเหล่านี้ไม่ได้ขาดแค่โอเมก้า3 เท่านั้น แต่ยังขาดสารอาหารจำพวกวิตามินอีอีกด้วย เพราะสารอาหารต่างๆ นั้นจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน ถ้าหากว่าขาดสารอาหารไปตัวใดตัวหนึ่งก็อาจจะทำให้ร่างกายไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่นั่นเอง จากการศึกษาพบว่าผู้ที่รับประทานวิตามินอี 1,300 IU ต่อวัน อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีจะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมจากการอุดตันของเส้นเลือดในสมองได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเป็นโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ก็ควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และอย่าลืมทานวิตามินอีด้วยล่ะ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งประโยชน์ของวิตามินอีที่มองข้ามไม่ได้เลยค่ะ
4. วิตามินอีช่วยบรรเทาตะคริว เหน็บชาได้ อย่างที่เรารู้กันว่าคนที่เป็นตะคริวหรือว่าเหน็ชาง่ายนั้น ควรทานข้าวซ้อมมือ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าคนที่มีอาการเหน็บชาเหล่านี้ควรทานสารอาหารที่มีวิตามินอีด้วยเช่นกัน เพราะวิตามินอีเป็นตัวช่วยในการบรรเทาอาการของตะคริวให้ดีขึ้นกว่าเดิม แล้วคุณก็จะได้ไม่ต้องทรมานจากการเป็นตะคริวหรือเหน็บชานานจนเกินไป
5. วิตามินอีช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม วิตามินอีมีสรรพคุณช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม และไม่ใช่แค่เซลล์มะเร็งเต้านมเท่านั้น แต่รวมถึงเซลล์มะเร็งชนิดอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้แล้ววิตามินอียังช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีได้อีกด้วย อันเป็นสาเหตุของการเกิดเซลล์มะเร็ง
6. วิตามินอีจะทำงานร่วมกับวิตามินเอเพื่อป้องกันปอดจากมลพิษ คนที่ต้องทำงานอยู่ท่ามกลางมลพิษทางอากาศ เช่น คนกวาดถนน คนซ่อมท่อไอเสียรถยนต์ หรือแม้แต่คนที่ขายของอยู่ตามริมถนน ล้วนมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับปอดได้มากกว่าคนที่ทำงานอยู่ในห้องแอร์ หรือในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ปลอดมลพิษ คนที่มีความเสี่ยงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทานวิตามินเอ และวิตามินอีควบคู่กันเป็นประจำ เพื่อป้องกันตนเองจากโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับปอด
7. วิตามินอีช่วยป้องกันการเกิดแผลหนานูน เป็นสะเก็ดได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณหมอด้านความสวยงามนั้นจำเป็นต้องพึ่งพาวิตามินอีให้มารักษาแผลที่เกิดจากสิว และร่องรอยของแผลต่างๆ เราจะเห็นว่าเมื่อไหร่ที่คุณเป็นแผล ไม่ว่าจะเกิดด้วยสาเหตุใดก็ตาม คุณมีสิทธิ์ที่จะมีแผลที่นูน ทำให้ผิวไม่เรียบเนียนได้ ซึ่งวิตามินอีนี่แหละจะช่วยให้บาดแผลของคุณไม่เกิดความนูนขึ้นมา จนทำให้คุณมีผิวที่ดูไม่ดีได้
8. วิตามินอีช่วยป้องกันปอดติดเชื้อจากมลพิษทางอากาศ โดยวิตามินอีทำงานร่วมกับวิตามินเอ
9. วิตามินอีช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย
10. วิตามินอีช่วยลดความดันโลหิต
11. วิตามินอีมีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้