Description
Neocell Super Ceramides Skin Hydrator อัดเน้นวิตามินที่สำคัญช่วยในเรื่องบำรุงผิว แต่จุดเด่นของตัวนี้คือ “Ceramosides” เน้นๆ เรื่องผิว บำรุงตรงจุด แค่ 15 วันก็เห็นการเปลี่ยนแปลง ปลืมกันถ้วนหน้า Ceramosides สิทธิบัตรที่ไม่มีใครเหมือน เป็นตัวเชื่อมให้เคราตินซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของผิวชั้นบนสุด ให้เรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ ช่วยให้ผิวแข็งแรง ปกป้องผิว ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
ส่วนประกอบหลักของ Neocell Ceramides Skin Hydrator
1.Ceramosides Phytoceramide Extract ( Triticum vulgare seed )
เซราไมด์ (Ceramide) เป็นสารจำพวกไขมัน หรือ ไลปิดชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า สฟิงโกไลปิด (Sphingolipid) โดยเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell Membrane) ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องเซลล์จากสิ่งแปลกปลอมภายนอก เซราไมด์ ถูกพบได้ที่ผิวชั้นบน ของหนังกำพร้า (Epidermis) โดยสร้างขึ้นภายในเซลล์ผิว (Keratinocyes) และปล่อยออกมาเมื่อเซลล์ผิวเคลื่อนที่่สู่ผิวชั้นบน เซราไมด์ จึงเป็นสารตามธรรมชาติที่แทรกอยู่ระหว่างเคราติน (Keratin) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของผิวชั้นบนสุด เซราไมด์ เชื่อมเคราตินให้เรียงตัวกันเป็นระเบียบ ส่งผลให้ผิวทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการสูญเสียน้ำของผิว เมื่อผิวขาด เซราไมด์ จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวแห้งกร้าน ผิวพรรณไม่สดใส
หน้าที่ของ เซราไมด์ (Ceramide)
- เป็นตัวเชื่อมให้เคราตินซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของผิวชั้นบนสุด ให้เรียงตัวกันอย่างมีระเบียบ
- ช่วยให้ผิวแข็งแรง ปกป้องผิว และร่างกายจากการคุกคามของเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอม
- ลดการสูญเสียน้ำของผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นเปล่งปลั่ง ช่วยลดการสูญเสียการอุ้มน้ำตามธรรมชาติ (Natural Moisturizing Factor)
- ลดการสังเคราะห์เมลานิน หรือ เม็ดสีผิว ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
อาการผิวแห้งเสียเพราะขาด เซราไมด์ (Ceramide) เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- พันธุกรรม มีผิวแห้งแต่กำเนิด
- การที่มีอายุมากขึ้น ฮอร์โมนลดลงจึงเป็นธรรมดาที่เซลล์ผิวจะทำงานและผลิตเซราไมด์ ได้น้อยลง
- ปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด ความเครียด ก็เป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญในการทำให้เซลล์ผิวทำงาน และสร้างเซราไมด์ ได้ลดลง
- การลดลงของระดับ เซราไมด์ ในผิวยังพบได้ในผู้ป่วยโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) โรคผื่นแพ้จากการสัมผัส (Contact Dermatitis) โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นต้น
ประโยชน์ชองไฟโตเซราไมด์ (Phytoceramides)
- ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น กระชับ ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน และสารไฟโตเซราไมด์ (Phytoceramides) ยังช่วยฟื้นฟูผิวเสื่อมโทรมให้กลับมาเรียบเนียนแบบมีประสิทธิภาพ
- ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ริ้วรอยหมองคล้ำรอบดวงตา ให้กลับมาดูอ่อนเยาว์
- ลดการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินผิวหนัง ยับยั้งการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ปรับผิวสว่างกระจ่างใส
- ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เรียบเนียน
- ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำในร่างกาย
- ฟื้นฟูผิวจากปัญหาผิวแห้งเสียรุนแรง
- ผิวสุขภาพแข็งแรง ทนต่อมลภาวะได้ดี
- เพิ่มความเนียนนุ่มให้กับผิวหนังชั้นนอก
CERAMIDES: THE HOTTEST INGREDIENT OF 2017 THE SCIENCEULTIMATE SKIN HYDRATION
สูตรใหม่ของ Nutricosmetic ของ NeoCell ใช้เซราไมด์ที่ผ่านการพิสูจน์ทางการแพทย์ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นของผิวและแสดงผลอย่างมีนัยสำคัญในการลดการสูญเสียน้ำที่เกิดจากการแพร่กระจายของผิวหนัง
สารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณประโยชน์มากมายทั้งในเรื่องการรักษาและการ ป้องกันโรค ดูแลผิวพรรณและอีกหลายระบบในร่างกาย ชักนำให้เซลล์ต่างๆในร่างกายเกิดปฏิกิริยาที่สมบรูณ์ มีรายงานวิชาการที่กล่าวถึงและรับรองมากมายเกี่ยวกับคุณประโยชน์อันมหาศาล ของวิตามินซีที่มีมากกว่าคำว่าสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ ที่เรารู้จักเพียงผิวเผินเท่านั้น
3. Coconut water น้ำมะพร้าว
อยากจะเรียกว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำมหัศจรรย์ของผู้หญิงจริงๆ เลยค่ะสาวๆ เพราะนอกจากจะหอมหวานชื่นใจแล้ว ยังมีสรรพคุณที่มหัศจรรย์กับผิวของเราอย่างน่าทึ่ง ซึ่งหากเราดื่มทุกวันเป็นประจำเพียงวันละ 1 ลูก สิ่งที่เราจะได้กลับมาก็คือ…
- อ่อนกว่าวัย น้ำมะพร้าวช่วยสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้ผิวของเราได้อย่างดี ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น กระชับ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้ รับรองว่าคนเดาอายุคุณไม่ถูกแน่นอน
- ผิวสดใส นี่ก็เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องการคือผิวพรรณจะสดใส ขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ นั่นก็เพราะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนอยู่ในน้ำมะพร้าว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมผู้หญิงควรทานน้ำมะพร้าว
- ขับของเสีย น้ำมะพร้าวไม่ได้มีผลกับความงามเท่านั้น แต่ยังช่วยล้างพิษขับพิษของเสียออกมาจากร่างกาย ยิ่งถ้าเราดื่มทุกวันก็เหมือนได้ดีท็อกซ์ทุกวัน เพื่อให้ร่างกายได้ขับของเสียออกมา
4.Hyaluronic Acid สารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยกรองรังสี UV ลดริ้วรอย ตีนกา รอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก รอยแผลจากสิวทำให้ผิวพรรณเต่งตึง (สวยขึ้น ) ลดการเสียดสีของกระดูกข้อต่อ เพิ่มสารความหล่อลื่น แก้ปัญหาโรคกระดูก ข้อต่อ เอ็น โดยตรง แก้ปัญหาปวดตามข้อสำหรับผู้มีน้ำหนักตัวที่มาก กรด ไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) เรียกสั้นๆว่า HA (บางครั้งอาจได้ยินว่า Hyaluronan หรือ Hyaluronate ซึ่งก็เป็นจำพวกเดียวกัน) คือสารธรรมชาติชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกาย และร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เอง โดยทั่วไปจะพบอยู่มากที่บริเวณจุดเชื่อมต่อ ข้อต่อ ข้อเข่า เนื้อเยี่อ เซลล์ผิวหนัง โดยมีส่วนสำคัญในการเพิ่มความต้านทานต่อการเสียดสี (โดยเฉพาะที่ข้อต่อ ข้อเข่าต่างๆ) และเพิ่มความยืดหยุ่น ความชุ่มชื่นให้แก่เซลล์ผิวหนัง เพราะ Hyaluronic acid มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีมาก
หากร่าง กายขาด Hyaluronic acid ก็จะส่งผลให้ปวดข้อเข่าและข้อต่อ ทำให้เกิดอาการปวดเวลาเดินเพราะไม่มีตัวช่วยลดการเสียดสี ระหว่างกระดูกข้อต่อนั่นเอง และอาจส่งผลให้เซลล์ผิวขาดความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้น หยาบกร้าน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวมีสุขภาพไม่ดี ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำ Hyaluronic acid มาใช่ในวงการแพทย์เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาปวดข้อเข่าและข้อต่อ รวมถึง ใช้ในวงการความงาม ทั้งในรูปของอาหารเสริม เครื่องสำอาง รวมทั้งการฉีด Dermal Filler ซึ่งเป็นการนำ Hyaluronic acid มาช่วยป้องกันริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้นและอ่อนนุ่มให้แก่เซลล์ผิว ทั้งยังช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของเซลล์ ช่วยให้คอลลาเจนและอีลาสตินประสานกันอย่างมั่นคงมากขึ้น ที่สำคัญมีความปลอดภัยสูงมาก
ประโยชน์ของกรดไฮยาลูรอนิค Hyaluronic Acid (HA)
เมื่อ ร่างกายผลิต Hyaluronic Acid ก็จะไปหล่อผิวหนังชั้นในซึ่งอยู่ล่างสุด (dermis) และกระจายไปถึงผิวหนังชั้นบน (epidermis) ประโยชน์ที่สำคัญของ Hyaluronic Acid คือ ช่วยให้ผิวหนังสามารถเก็บกักความชุ่มชื่นได้มากกว่าปกติหลายเท่าตัว โดยไม่เพิ่มความมันอย่างการผลิตน้ำมันของรูขุมขน (sebum) บนผิวชั้นนอก และเมื่อเซลล์ผิวมีความชุ่มชื่นที่ดีเพียงพอ ผิวหน้าก็จะดูอ่อนเยาว์ เนียนเรียบขึ้น ริ้วรอยลดลง มีความยืดหยุ่น นุ่มนวล และดูมีชีวิตชีวา
นอก จากนี้ กรดไฮยาลูรอนิค ยังช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บของเซลล์ผิวหนังได้เร็วขึ้นถึง 80% ทำให้ผิวสามารถสมานและฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้น ช่วยทำให้ผิวดูเต่งตึงขึ้น รูขุมขนดูเล็กลง
โดยทั่วไปแล้ว การไหลเวียนของเลือดจะเป็นตัวนำของเสียออกจากเซลล์ แต่สำหรับเซลล์ผิวที่ไม่ได้ติดต่อกับเส้นเลือดโดยตรง กรดไฮยาลูรอนิค จะะช่วยเพิ่มการนำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ผิวและช่วยกำจัดของเสียออกจากเซลล์ เหล่านั้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อร่ายกายมีอายุมากขึ้น การผลิต Hyaluronic Acid ตามธรรมชาติของร่างกายก็ลดน้อยลงไป ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของสภาพผิวหนังที่แห้งมากขึ้น ขาดความยืดหยุ่น ริ้วรอยมากขึ้น ปวดข้อเข่าขณะเดินมากขึ้น ซึ่งปัญหาจะรุนแรงขึ้นตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอนิค จะช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมทั้งช่วยบรรเทาอาการปวดข้อเข่าจากปัญหาเข่าเสื่อมได้ในระดับหนึ่ง
สรุป ประโยชน์ของกรดไฮยาลูรอนิค Hyaluronic acid (HA) คือ ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้แก่ผิวตามธรรมชาติ ให้ความชุ่มชื้นถึงผิวชั้นใน ผิวมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยให้ผิวเรียบเนียน ตึงกระชับ ป้องกันและบรรเทาอาการปวดข้อเข่าและข้อเสื่อมของเนื้อเยื่อข้อต่อกระดูก ปกป้องเรติน่าของดวงตา
5.Pine Bark Extract ( Pinus massoniana ) คือสารสกัดจากเปลือกสนที่ใช้เรื่องต่อต้านอนุมูลอิสระให้กับผิวและเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดส่วนปลายเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือดและยับยั้งการเกิดการสร้างเม็ดสีอย่าง เมลานิน ที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าและ จุดด่างดำ
6.Lutein (Marigold flower)
สารสกัดจากดอกดาวเรือง (Marigold Flower) จะให้สารสำคัญคือ ลูทีนซึ่งเป็นสารอาหารในกลุ่มที่เรียกว่าแซนโทฟิลส์ (xanthophylls)มีลักษณะเป็นสารสีเหลือง อยู่ในจำพวกแคโรทีนอยด์ (carotenoids)ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีประโยชน์ต่อดวงตาเพราะเป็นสารสำคัญที่อยู่ในจุดรับภาพของดวงตาที่เรียกว่า “มาคูลา (Macula)” สารอาหารลูทีนจะช่วยกรองแสงหรือป้องกันรังสีที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตา นอกจากนี้ลูทีน(Lutein)ยังช่วยปกป้องไม่ให้เซลล์ของจอประสาทตาถูกทำลาย และยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อกระจก (Cataracts) โรคกระจกตาเสื่อม (AMD) ซึ่งชาวต่างประเทศรู้จักสารอาหารลูทีน (lutein) กันอย่างกว้างขวาง ว่าเป็นสารอาหารที่ช่วยชะลออาการจอประสาทตาเสื่อมของผู้ใหญ่ จึงมีการศึกษาประโยชน์ของลูทีนที่มีต่อการปกป้องจอประสาทตาเพิ่มมากขึ้น
บทบาทของลูทีนที่มีต่อดวงตานั้น พบว่าภายในจอประสาทตาของคนเรา มีร่องเล็กๆ อยู่จุดหนึ่งที่มีเซลล์รับภาพจอประสาทตา ซึ่งเป็นจุดที่แสงตกกระทบ และทำให้คนเราสามารถมองเห็นภาพที่ชัดเจนในแต่ละวัน ซึ่งบริเวณเซลล์รับภาพนี้มีสารสีเหลือง หรือลูทีนอยู่หนาแน่นมากที่สุด โดยจะพบได้ตรงชั้นเนื้อเยื่อที่หล่อเลี้ยงเส้นประสาท ซึ่งจุดดังกล่าวเป็นจุดที่สำคัญมากต่อการมองเห็น หากบริเวณดังกล่าวเสื่อม หรือเสียไป อาจทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดได้ โดยสารลูทีนในเซลล์รับภาพของจอประสาทตานี้ จะทำหน้าที่สำคัญคือ คอยกรองแสงสีฟ้า ซึ่งเป็นอันตรายต่อจอประสาทตา และเป็นแสงที่หลีกเลี่ยงได้ยากเพราะมีอยู่ทั่วไปรอบๆ ตัวเรา ซึ่งทั้งแสงจากดวงอาทิตย์ แสงจากโทรทัศน์ แสงจากจอคอมพิวเตอร์ แสงจากหลอดไฟ เป็นต้น
นอกจากนี้ ลูทีนยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในดวงตาของคนเราอีกด้วย เพราะดวงตาของเราจะมีสารอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นตัวทำลายเซลล์รับภาพและทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับจอประสาทตาทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ได้
นอกจากลูทีนจะพบมากในดวงตาของคนเราแล้ว ยังพบได้ในสมองในส่วนที่เกี่ยวกับการมองเห็นถึงร้อยละ 66 จึงเชื่อว่าลูทีนมีส่วนช่วยในการรับภาพและส่งต่อไปยังสมองได้ดีขึ้นอีกด้วย
6.Astaxanthin ( Haematococcus pluvialis )
แอสตาแซนธิน (Astaxanthin)เป็นสารในกลุ่มแซนโทรฟิลล์ / ตระกูลแคโรทีนอยด์ (Xanthophyll group / Carotenoid family) พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ เป็นสารสีแดงที่พบในปลาแซลมอน ไข่ปลาคาเวียร์ เปลือกกุ้งปูและ Microalgae Haematococcus Pluvialis ร่างกายไม่สามารถสร้างสารชนิดนี้ได้ เราจะได้รับสารชนิดนี้จากอาหารที่รับประทานเข้าไป ในปริมาณที่น้อยมาก เช่น ปลาแซลมอน 200 กรัม จะมีแอสตาแซนธิน เพียง 1 มิลลิกรัม
ความปลอดภัยเราสามารถบริโภคแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ได้อย่างปลอดภัยเนื่องจากสารชนิดนี้เป็นส่วนหนึ่งในอาหารของมนุษย์มานานหลายพันปีแล้ว ตัวอย่างเช่น ในปลาแซลมอนคุณภาพดีจะมีแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) บริสุทธิ์ประมาณ 3 – 6 มิลลิกรัม
มีการทดลองทางคลินิก โดยรับประทานสารแอสตาแซนธิน จาก Microalgae Haematococcus Pluvialis มากถึง 40 มิลลิกรัมเป็นประจำทุกวัน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆและจากการทดสอบ Full Acute & Sub Chronic, Ames Test & Gene Toxicity และการค้นหาเอกสารทางวิชาการทั่วโลกนั้นไม่พบรายงานที่มีผลข้างเคียงในทางลบ
และจากข้อมูล มีการนำ Microalgae Haematococcus Pluvialis ซึ่งมีสารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) อยู่เป็นจำนวนมาก นำมาสกัดเป็นอาหารเสริมและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในพื้นที่แถบสแกนดิเนเวีย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 และสารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) มีการวางจำหน่ายอย่างแพร่หลายในตลาดตั้งแต่ปีค.ศ. 1999 จนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) จึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระทางเลือกใหม่ ที่ให้ได้มากกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ
มีผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทำการศึกษาประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระชนิดต่างๆ พบว่า แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้แรงกว่า วิตามิน ซี 6,000 เท่า, CoQ10 800 เท่า, วิตามิน อี 550 เท่า, Green tea catechins 550 เท่า, Alpha lipoic acid 75 เท่า, เบต้า แคโรทีน 40 เท่า และ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น 17 เท่า
ประโยชน์ของสารแอสตาแซนธิน
นอกจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีเยี่ยม ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านต่างๆดังนี้
- ช่วยให้ผิวคงความอ่อนวัย ลดริ้วรอย ความหย่อนคล้อยและจุดด่างดำ
- ช่วยบำรุงสายตา ลดอาการเมื่อยล้าของสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์
- ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อร่างกาย
- ช่วยดูแลสุขภาพกระเพาะอาหาร
- ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองแตก
ใครบ้างที่ควรรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระแอสตาแซนธิน (Astaxanthin)
- ผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพทุกเพศทุกวัย
- ผู้ที่ใส่ใจในความงามและสุขภาพผิว
- ผู้ที่ต้องเผชิญกับมลภาวะต่างๆเป็นประจำเช่นความเครียด ฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ เป็นต้น
- ผู้ที่ต้องทำงานใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
- นักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ