Description
Vitamin D3 วิตามินดี 3 เสริมสร้างการทำงานของแคลเซียมเพื่อกระดูกและฟันที่แข็งแรง เสริมสร้างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ วัยกลางคนหรือวัยชรา อายุที่มากขึ้นการสังเคราะห์วิตามินดี (Vitamin D3) ที่ผิวหนังก็ลดลง ประมาณว่าคนอายุ 70 ปีการสังเคราะห์ลดลง 75% หรือน้อยกว่าคนในวัย 20 ปีถึง 4 เท่า เพื่อไม่ให้ร่างกายต้องมีปัญหาเพราะเกิดอาการขาดวิตามิน ดี
วิตามินดี เป็นวิตามินที่ร่างกายต้องการเพื่อการรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียมในเลือดและในกระดูก เมื่อร่างกายได้รับแสงแดด ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้เมื่อผิวหนังได้รับแสงแดด ในกรณีที่ไม่ถูกแดด จำเป็นจะต้องได้รับวิตามินดีจากอาหารให้มากขึ้น เมื่อได้รับแสงแดดพอ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสริมด้วยการรับประทานวิตามินดีในรูปวิตามินรวม หรือรับประทานอาหารที่มีการเสริมด้วยวิตามินดี
ประโยชน์ของวิตามิน D3
- วิตามินดีช่วยในการกระตุ้นดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส มีความสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน และการเจริญเติบโตตามปกติของเด็ก ช่วยในการเก็บสำรองแร่ธาตุไว้ในกระดูกและฟัน
- ช่วยควบคุมระดับแคลเซียมในเลือด ลดการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย
- ควบคุมความดัน
- ป้องกันการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้
- วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมกลับของกรดอะมิโนที่ไต ถ้าขาดวิตามินดี กรดอะมิโน ในปัสสาวะจะเพิ่มขึ้น ถ้าวิตามินดีเพียงพออัตราการดูดซึมกลับกรดอะมิโนจะปกติ และในปัสสาวะจะลดปริมาณลง
- ช่วยสังเคราะห์น้ำย่อยใน mucous membrane ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแบบ active transport ของแคลเซียมให้ข้ามเซลล์ไปได้ง่าย
- ควบคุมปริมาณของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในกระแสโลหิตไม่ให้ต่ำลงจนถึงขีดอันตราย เช่น แคลเซียมจะต้องอยู่ในเลือดประมาณ 7 มิลลิกรัม/เดซิลิตร โดย วิตามินดี จะกระตุ้นการดูดแคลเซียมในลำไส้ เพราะมิฉะนั้นแคลเซียมจะถูกขับออกจากร่างกายไปหมด และวิตามินดี จะกระตุ้นการนำเอาฟอสฟอรัส มาใช้โดยทำหน้าที่กระตุ้นตลอดเวลา
- เกี่ยวข้องกับการใช้ฟอสฟอรัสในร่างกาย
- ช่วยสังเคราะห์ Mucopolysaccharide ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นในการสร้างคอลลาเจน
- เกี่ยวข้องกับการใช้คาร์โบไฮเดรต
- เกี่ยวข้องกับการใช้เกลือซิเตรทในร่างกาย
- หน้าที่โดยทางอ้อมก็คือ วิตามินดีจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท การเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด เพราะหน้าที่เหล่านี้ จะสัมพันธ์กับการมีอยู่ และการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ของร่างกาย
- ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
เราจะได้วิตามิน D จากไหน
มีวิธีหลักสามวิธีในการได้รับวิตามิน D: แหล่งอาหาร การรับแสงแดดอย่างปลอดภัย และจากการรับประทานวิตามินเสริม แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัดของตนเอง แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจะสามารถช่วยพิจารณาว่าวิธีใดในการได้รับ วิตามิน D ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ
แหล่งโภชนาการ
แหล่ง อาหารตามธรรมชาติที่อุดมไปด้วยวิตามิน D ได้แก่ ปลาที่มีมัน เห็ดตากแห้ง และไข่แดง นอกจากนี้ ยังมีอาหารที่ได้รับการเสริมวิตามิน D ลงไป เช่น นมวัว นมจากข้าว ถั่วเหลือง อัลมอนด์ และข้าวโอ๊ต น้ำส้ม เนยหรือสเปรดแบบต่างๆ โยเกิร์ต และซีเรียลอาหารเช้า
อาหารที่ให้วิตามิน D:
ปลาที่มีมัน
- 30–35 µg ต่อน้ำมันตับปลา 1 ช้อนโต๊ะ
- 8–13 µg ต่อปลาแซลมอน 3 oz
- 5–9 µg ต่ปลาซาร์ดีน หรือแมคเคเรล 3 oz
- 5 µg ต่อทูน่าในน้ำมันกระป๋อง 3 oz
แหล่งทางธรรมชาติอื่นๆ
- 0.5 µg ต่อไขแดงขนาดกลาง 1 ใบ
- 0.3 µg ต่อตับวัว 3 oz
- 0.4–63 µg ต่อเห็ด 100 กรัม
อาหารที่เสริมอาหารบางชนิดลงไป
- 2.5 µg ต่อนมวัว 1 ถ้วย (ปริมาณจริงอาจแตกต่างจากนี้ได้)
- 2.5 µg ต่อน้ำส้ม 1 ถ้วย
- 1.0 µg ต่อซีเรียลพร้อมรับประทาน 1 ถ้วย
วิตามิน D จากแสงแดด
การที่คุณได้รับแสงแดดเป็น เวลา 5-30 นาที เป็นประจำสองครั้งต่ออาทิตย์เป็นวิธีที่ร่างกายจะดูดซึมวิตามิน D ได้อย่างเพียงพอ พื้นที่ในการโดนแสงอาทิตย์นั้นควรเน้นไปที่บริเวณใบหน้า แขน ขา หรือหลัง โดยไม่ต้องทายากันแดด ระหว่างช่วงเวลาที่แดดแรง เช่น 10.00-15.00 น. ร่างกายของเราสามารถผลิตวิตามิน D อย่างต่ำถึง 10,000 IU ภายในระยะเวลาเพียง 30 นาที ในแสงแดด ซึ่งเราเรียกกันว่าปริมาณรังสีต่ำสุด (minimal erythemal dose) แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรังสี UV ในแสงอาทิตย์อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ American Academy of Dermatology จึงแนะนำให้เรารับวิตามินผ่านทางอาหาร หรืออาหารเสริมมากว่า
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกสองสามปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการได้รับวิตามิน D ที่เราต้องการจากแสงแดดเพียงอย่างเดียว:
สภาพภูมิศาสตร์
- คนที่อาศัยอยู่เหนือ 37th parallel อาจมีปัญหาในการได้รับวิตามิน D ในปริมาณที่เพียงพอจากแสดงแดดในช่วงฤดูหนาว
- เมืองที่อยู่เหนือ 37th parallel ได้แก่ ซานฟรานซิสโก เดนเวอร์ เซนต์หลุยส์ ชิคาโก นิวยอร์ก และริชมอนด์ นั่นหมายความว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกาอยู่เหนือเส้นนี้
ครีมกันแดด
ครีมกันแดด
- แม้จะมีค่า SPF ต่ำแค่ SPF8 ก็สามารถป้องกันการดูดซึมของรังสี UVB เข้าร่างกายได้ในอย่างมาก
การบดบังของเมฆ
- วันที่มีเมฆมากอาจะส่งผลต่อการลดลงของรังสี UV ได้มากถึง 50% การอยู่ในร่มจะลดระดับรังสีเพิ่มขึ้นอีก 10%
ปริมาณเมลานินในผิวหนัง
- งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าคนที่มีผิวสีเข้มจะมีระดับวิตามิน D ต่ำกว่าคนที่มีผิวที่ขาวกว่า
- งานวิจัยเพิ่มเติมแสดงให้เห็นว่าหากต้องการดูดซึมวิตามิน D ในปริมาณที่เท่ากัน คนอเมริกันผิวดำจะต้องโดนแสงแดดมากกว่าคนผิวขาวทั่วไปถึง 10 เท่า
เสื้อผ้า
เสื้อผ้า
- ดูดซับรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตส่วนใหญ่ไว้ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าในบางประเทศที่กำหนดให้ประชาชนในประเทศต้องใส่ เสื้อผ้าแขนยาวคลุมตัว จะมีการรายงานถึงการเกิดโรคขาดวิตามิน D ที่มากกว่า
ฤดูกาล
- ในช่วงหน้าหนาว แม้ว่าแสงแดดจะส่องสว่างมากกว่า แต่โฟตอน UVF ซึ่งเป็นตัวผลิตวิตามินจะผ่านชั้นโอโซนในองศาที่เฉียงกว่าเดิม ซึ่งทำให้ถูกดูดซับโดยโอโซน จึงเหลือไม่ถึงผิวของเรา แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงระหว่างปี คนส่วนใหญ่ที่ได้รับปริมาณวิตามิน D ที่พอเหมาะสามารถสะสมวิตามิน D ไว้ในเนื้อเยื่อไขมัน เพื่อใช้ในหน้าหนาวได้
วิตามินเสริม
- แม้ว่าอาหารควรเป็นทางเลือกแรกในการได้รับวิตามิน D เสริม แต่คนบางคนอาจพบว่าการบริโภคอาหารทั่วไปเพื่อให้ได้ปริมาณวิตามิน D ที่เพียงพอเป็นเรื่องยาก หากคุณเลือกรับประทานวิตามินเสริม ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวของคุณ และควรจำไว้ว่า Institute of Medicine กำหนดปริมาณการบริโภควิตามิน D สูงสุดไว้ที่ 2,000 IU สำหรับผู้ใหญ่ปกติ